ทฤษฏีที่นำมาออกแบบกระบวนการเรียนรู้
เสถียรธรรมสถาน เป็น 'ชุมชนแห่งการเรียนรู้(Learning Community) เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างศานติ โดยมีพุทธรรมเป็นรากฐาน' ก่อตั้งมาตั้งแต่ พ.ศ.2530 โดยท่านแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต มีแนวคิดในการออกแบบการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Learner Oriented) และใช้ศิลปะในการออกแบบการเรียนรู้แบบเกลียวเชือก โดยจัดประสบการณ์เรียนรู้ที่หลากหลาย ให้สอดคล้องกับจริตของผู้เรียนที่แตกต่างกัน จนเกิดเป็นศิลปะการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่เรียกว่า 'มองนอก ดูใน' เพื่อให้ผู้เรียนใช้ประสบการณ์ภายนอกน้อมนำให้เกิดประสบการณ์ภายในจนนำไปสู่การพัฒนาจิตใจได้ด้วยทฤษฎีการเรียนรู้ 3 ด้าน ได้แก่
1.พุทธศาสตร์ ใช้หลักไตรสิกขา อริยสัจ ปฏิจจสมุปบาทและธรรมประกอบกัน เช่น อุปกิเลส อริยมรรค อินทรีย์ภาวนา สัปปุริสธรรม สัปปายะ ขันธ์ 5 ภาวนา 4 อิทธิบาท 4 พรหมวิหาร 4 เป็นต้น มาสื่อสารแบบร่วมสมัยเน้นการถ่ายทอดความรู้แบบ 'ทำของยากให้ง่าย' ใช้ภาษาเรียบง่ายและเข้าถึงคนทุกวัย
2.วิทยาศาสตร์ ใช้หลัก Brain-Based Learning (BBL) มาออกแบบประสบการณ์เพื่อทำให้เกิดกิจกรรมจากการลงมือทำจนเกิดประสบการณ์ภายใน ทำให้เกิดกระบวนการสังเกตอารมณ์ความรู้สึก (Outside In) และใช้การสะท้อนความคิดรวมถึงคิดวิเคราะห์เหตุและผลของพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นความชำนาญของเสถียรธรรมสถานอันสืบเนื่องมาจากการร่วมงานกับสถาบันวิทยาการเรียนรู้ (สวร.) ผู้ริเริ่มการนำความรู้ทาง Neurosciences มาตั้งแต่ พ.ศ.2547 ซึ่งปัจจุบัน BBL เป็นรากฐานของการสร้างนวัตกรรมต่างๆ ของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน)
3.ศิลปศาสตร์ ด้วยหลักของ BBL ที่สมองซีกซ้ายและขวาหรือเรียกได้ว่าสมองช่างคิดและสมองช่างฝันจะทำงานร่วมกันได้มีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อผ่านการปฏิบัติ 3 ด้าน คือ การเคลื่อนไหว ศิลปะและดนตรี เสถียรธรรมสถานจึงใช้เทคนิคการเรียนรู้โดยใช้ศิลปะและวัตถุดิบรอบตัวมาเปิดประสาทสัมผัสจากการลงมือทำ สังเกตความเคยชินเดิม ที่เป็นอารมณ์และความคิดที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ คิดใคร่ครวญหาเหตุและผล สะท้อนการเรียนรู้ในกลุ่มเพื่อส่งเสริมให้เกิด 'ภาวนามยปัญญา' คือปัญญาขั้นสูงสุดอันเกิดจากประสบการณ์ตรงทางจิตของผู้เรียนเองที่ทำให้เห็นได้มากกว่าการเรียนรู้โดยการรับฟังจากวิทยากรหรือการคิดวิเคราะห์จากประสบการณ์ ความคิด ความเชื่อเดิมเท่านั้น กระบวนการเรียนรู้นี้ใช้หลักการของสิปปะภาวนา
ทฤษฏีเกลียวความรู้ (SECI)
ชุดความรู้ชุดนี้ใช้กระบวนการสร้างเกลียวความรู้ ซึ่งเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการยกระดับความรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์หรือทำให้วงจรความรู้ได้ถูกใช้งาน หรือส่งผ่านหมุนเวียนเปลี่ยนสภาพและที่อยู่ไปเรื่อยๆ และยังคงหมุนเวียนกลับไปมาอยู่ระหว่างแหล่งความรู้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด แหล่งความรู้ทั้งสองแหล่งคือ ความรู้ที่ใช้ในการทำงานและความรู้ที่เกิดจากการทำงานส่วนใหญ่เป็นความรู้ฝังลึก (tacit knowledge) ซึ่งเป็นประสบการณ์ ความเชื่อ ผ่านกระบวนการที่ทำให้เกิดการถ่ายทอดออกมา (codify) เป็นเรื่องเล่า เป็นตัวหนังสือเป็นความรู้ที่มีคุณค่า ความรู้ที่ codify แล้วเราเรียกว่า ความรู้ที่เปิดเผย (explicit knowledge) เป็นความรู้ที่แลกเปลี่ยนกันง่ายและเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไป
หลักการที่ทำให้เกิดเกลียวความรู้
Socialization คือการจัดให้คนมามีปฏิสัมพันธ์กันในรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ฝังลึก (tacit knowledge) หรือประสบการณ์ วิธีการที่นำมาออกแบบในชุดความรู้นี้คือ การทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กันใน 4 รูปแบบคือ online, on land, on site และ hybrid
Externalization กระบวนการสื่อความรู้จากประสบการณ์ในการทำงานออกมาเป็นภาษาพูด หรือภาษาเขียนเท่ากับเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ฝังลึก เป็นความรู้ชัดแจ้ง (explicit knowledge) หรือความรู้ที่ codified knowledge ซึ่งเป็นความรู้ที่สามารถแลกเปลี่ยนกันได้โดยง่าย ผ่านวิธีการด้านเทคโนโลยีสื่อสารและสารสนเทศ
Combination จากการแลกเปลี่ยนกันผ่านวิธีการด้านเทคโนโลยีสื่อสารและสารสนเทศทำให้ได้ความรู้ที่ชัดเจน กว้างชวางและลึกซึ้งขึ้น
Internalization เป็นกระบวนการสะท้อนกลับความรู้จากความรู้ฝังลึกที่ไปสร้างความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายเกิดเป็น ข้อมูลใหม่หรือประสบการณ์ใหม่ เพิ่มเติมเข้ามาในกระบวนการเรียนรู้ การจัดการความรู้ที่ยกระดับเกลียวรู้ขึ้นไปอีกจนทำให้วงจร SECI ดำเนินต่อเนื่องเรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด
บทสรุปของเกลียวความรู้
เกลียวความรู้ (knowledge Spiral) ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอนคือ แลกเปลี่ยน เขียนออกมา ยกระดับ นำไปใช้ ในขั้นตอนแรก คือการแลกเปลี่ยนหมายถึงการแลกเปลี่ยนความรู้ฝังลึกเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ในส่วนของขั้นตอนที่สอง คือการเขียนออกมา เป็นขั้นตอนในการใช้การสื่อสารแปลงความรู้ฝังลึกให้เป็นความรู้ชัดแจ้ง ในขั้นตอนที่สาม คือการยกระดับโดยการรวบรวมความรู้ชัดแจ้งที่เรียนรู้มาสร้างเป็นความรู้ชัดแจ้งใหม่ๆ ในขั้นตอนที่สี่ คือการนำไปใช้เป็นการแปลงความรู้ชัดแจ้งมาเป็นความรู้ฝังลึกในตัวคนแล้วนำความรู้ที่เรียนรู้มาไปใช้งานต่อได้อย่างเข้าใจ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น